วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Prepositions

คำบุพบท (Preposition) คือ คำที่ใช้เชื่อมความสัมพันธ์ทางความหมายของคำกับอีกคำหนึ่งในประโยค ซึ่งอาจเป็นคำเพียงคำเดียวหรืออาจ เป็นกลุ่มคำที่รวมกันเป็นอีกหนึ่งหน่วยก็ได้ Prepositions หนึ่งตัวอาจมีได้หลายความหมาย ขึ้นอยู่กับว่ามันประกอบอยู่กับบริบทใด แบ่งได้ 4 ประเภท ดังนี้

1. Preposition of time: for, in, to, after, before, at the time of, at, on, from, until, during, at the end of, by, till, since, about, between, in the early of
ตัวอย่าง
He will graduate in one year.
He was born on the seventeenth of February.

2. Preposition of place: at, in, over, near, beyond, against, behind, on, off, down, along, across, below, next to, to , by, from, above, among, before, in front of, into, onto, under, beside, beneath, toward, at the back of
ตัวอย่าง
The boy is going to school.
Her daughter is in the house.

3. Preposition of purpose: to, for, in order to, so as to
ตัวอย่าง
A pencil is used for writing.
She tried hard to win this game.

4. Preposition of manner: in, on, as, by, with, like
ตัวอย่าง
He is in a hurry.
He listened to that news with happiness.

การใช้ Preposition ประกอบคำต่างๆ

คำที่ใช้ควบคู่คำบุพบท "about"
crazy about = คลั่งไคล้
know about = รู้ในเรื่อง
be anxious about = กังวลใจ
be uneasy about = กังวลใจ
be suspicious about = สงสัย
be considerate about = เกรงใจ
worry about = กังวลใจ
angry about (at) = โกรธ
puzzle about = งุนงง สับสน

คำที่ใช้ควบคู่คำบุพบท "agianst"
argue against = โต้แย้ง
contend against = ต่อสู้
complete against (with)= แข่งขัน
lean against = ยืนพิง
fight against = ต่อสู้กับ

คำที่ใช้ควบคู่คำบุพบท "at"
look at = จ้องมอง
laugh at = หัวเราะเยาะ
gaze at = จ้องมอง
stare at = จ้องมอง
glare at = จ้องมอง
glance at = ชำเลืองมอง
grasp at = ตกตะลึง
peep at = แอบมอง
good at = เก่งในด้าน
at ease = ตามสบาย
at dusk = พลบค่ำ
at dawn = รุ่งเช้า
at least = อย่างน้อย
at most = อย่างมาก
at present = ในปุจจุบัน
at once = ทันที
at home = ที่บ้าน
at work = ที่ทำงาน
at the top of = บนยอดของ
at the bottom of = เบื้องล่างของ

คำที่ใช้ควบคู่คำบุพบท "by"
by heart = ท่องจำได้ขึ้นใจ
by rote = ท่องจำได้ขึ้นใจ
by means of = ด้วยวิธี
by nature = โดยธรรมชาติ
by chance = โดยบังเอิญ
by and large = โดยทั่วๆไป

คำที่ใช้ควบคู่คำบุพบท "for"
look for = มองหา
ask for = ขอ
wait for = รอคอย
long for =ต้องการ
hunger for = ต้องการ
thirst for = ต้องการ
wish for = ปรารถนา
care for = เอาใจใส่ต่อ
stand for = ทนต่อ แทนที่ หมายถึง
appetite for = มีความอยาก
good for = ดีต่อ เป็นประโยชน์ต่อ
for good = ตลอดไป
for example = ตัวอย่างเช่น
for instance = ตัวอย่างเช่น
for the sake of = เพื่อเห็นแก่

คำที่ใช้ควบคู่คำบุพบท "from"
differ from = แตกต่างจาก
depart from = แยกออกจาก
derive from = มาจาก
stem from = มาจาก
recover from = กลับเป็นปกติจาก
remove from = ย้ายออกจาก
suffer from = ทนทรมานจาก

คำที่ใช้ควบคู่คำบุพบท "in"
live in = อาศัยอยู่ใน
join in = ร่วมกัน
believe in = เชื่อใน
take part in = ร่วมมือ
participate in = ร่วมมือ
persist in = ยืนกราน
in debt = เป็นหนี้
in danger = อยู่ในอันตราย
in a rush = อย่างรีบเร่ง
in a hurry = อย่างรีบเร่ง
in haste = อย่างรีบเร่ง
in return = ในทางกลับกัน
in short = โดยสรุป
in brief = โดยสรุป
in trouble = อยู่ในสถานการณ์ลำบาก
in danger = อยู่ในอันตราย
in general = โดยทั่วๆ ไป
in fact = ที่จริงแล้ว

คำที่ใช้ควบคู่คำบุพบท "of"
think of = คิดถึง
dream of = ฝันถึง
consist of = ประกอบด้วย
both of = ทั้งสอง
get rid of = กำจัด
get out of = ออกจาก
talk of = พูดถึง
result of = ผลของ
beware of = ระวัง
because of = เพราะว่า
instead of = แทนที่จะ
complain of = บ่นในเรื่อง
approve of = ให้ความเห็นชอบในเรื่อง
disapprove of = ไม่ให้ความเห็นชอบในเรื่อง
be capable of = สามารถ
be aware of = ระมัดระวัง
be made of = ทำมาจาก
be jealous of = อิจฉา
be tolerant of = ยอมรับฟังความคิดเห็น
be intolerant of = ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็น

คำที่ใช้ควบคู่คำบุพบท "on"
depend on = ขึ้นอยู่กับ
rely on = ขึ้นอยู่กับ
lean on = พึ่งพึง อาศัย
advice on = คำแนะนำในเรื่อง
live on = หากินกับ
bestow on = มอบให้
feed on = หาเลี้ยงชีพ
insist on = เน้น ยืนกราน
keen on = เอาใจใส่
count on = ขึ้นอยู่กับ ไว้ใจ
on time = ตรงเวลา
on Monday = วันจันทร์
on foot = เดินเท้า
on the fourth of July = วันที่ 4 กรกฎาคม
on a tour = ระหว่างการท่องเที่ยว
on a journey = ระหว่างการเดินทาง
on sale = ลดราคา
on strike = นัดหยุดงาน
on air = ออกอากาศ
be based on = มีพื้นฐานอยู่บน

คำที่ใช้ควบคู่คำบุพบท "out of"
run out of = ใช้หมด
out of order = เสีย ไม่ทำงาน
out of fashion = ล้าสมัย
out of date = ล้าสมัย
out of debt = หมดหนี้สิน
out of control = ควบคุมไม่ได้
out of use = เลิกใช้แล้ว

คำที่ใช้ควบคู่คำบุพบท "to"
go to = ไปที่
owing to = เนื่องจาก
thanks to = เนื่องจาก
manage to = จัดการกับ
speak to = พูดถึง
listen to = ฟัง
refer to = อ้างถึง
belong to = เป็นของ
object to = คัดค้าน
key to = กุญแจไขไปสู่
try to = พยายาม
used to = เคย
be able to = สามารถ
be used to = เคย
be accustomed to = เคยชิน
be about to = กำลังจะ
be vulnerable to = อ่อนไหว แพ้ต่อ
be susceptible to อ่อนไหว แพ้ต่อ

คำที่ใช้ควบคู่คำบุพบท "with"
be ill with = ป่วยเป็นโรค
be sick with = ป่วยเป็นโรค
be through with = ทำเสร็จ
be satisfied with = พอใจกับ
cope with = จัดการกับ
deal with = จัดการกับ
be busy with = ยุ่งอยู่กับ
be filled with = เต็มไปด้วย
be covered with = ปกคลุมไปด้วย
together with = ด้วยกันกับ
be identical with = เหมือนกับ

Adjective, คำคุณศัพท์

คำคุณศัพท์ (Adjective) หมายถึง คำที่นำมาขยายคำนาม (Noun) หรือ คำสรรพนาม (Pronoun) ให้ได้ใจความที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น การขยายอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มความเด่นชัดทั้งในด้านคุณภาพ ชนิด ปริมาณ จำนวน ของคำนามหรือคำสรรพนามนั้น ๆ เช่น

He is good boy.

เขาเป็นเด็กชายที่ดี

คำว่า “good” เป็น adjective ขยายคำนาม “boy” ให้ได้ใจความที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

There are ten books on the table.

มีหนังสือจำนวนสิบเล่มอยู่บนโต๊ะ

คำว่า “ten” เป็นคำ adjective บอกปริมาณคำนาม “book” ให้รู้จำนวนของคำนามนี้ว่ามีเท่าไร

This is a large house.

คำว่า “large” เป็นคำ adjective บอกลักษณะคำนาม “house” ว่าใหญ่โตมาก

ทีมาของ Adjective

คำ adjective มีที่มาอยู่ 2 แหล่ง คือ

1. Adjective ที่มีลักษณะมาจากการเกิดเป็น adjective โดยตรง

Adjective ที่มีลักษณะมาจากการเกิดเป็น adjective โดยตรง เรียกว่า “Descriptive adjective” เป็น adjective หรือ คุณศัพท์ที่บรรยายหรือบอกลักษณะต่าง ๆ ได้แก่

1.1. แสดงจำนวน เช่น one, two, three, four, five, six, seven etc.

1.2. แสดงลำดับที่ เช่น the first, the second, the third, the fourth, etc.

1.3. แสดงความเป็นเจ้าของ เช่น his, her, my, your, its, our, their etc.

1.4. แสดงขนาด, รูปร่าง, น้ำหนัก, ส่วนสูง เช่น large, tall, fat, thin, small etc.

1.5. แสดงคุณภาพ เช่น good, bad, lovely, nice etc.

1.6. บอกสี เนื้อวัตถุ เชื้อชาติ ภาษา เช่น white, silken, Thai, English, German etc.

2. Adjective ทีมีลักษณะและรูปร่างมาจากคำอื่น ๆ

Adjective ที่มีลักษณะหรือรูปร่างมาจากคำอื่น ๆ ได้แก่
Adjective ที่มาจากคำนาม (Noun) ในรูป Command Noun เช่น

a school boy (school เป็นคำนาม แต่ในที่นี้ใช้เป็น adjective ขยาย boy ที่เป็นคำนามแท้ ๆ)

a music show (music เป็นคำนาม แต่ใช้ขยาย show ซึ่งเป็นคำนาม จึงใช้เป็น adjective)

a college student (college ซึ่งเป็นคำนาม แต่ใช้ขยาย student ที่เป็นคำนามแท้ ๆ ดังนั้น college จึงเป็น adjective)

2.2 Adjective ที่มาจากคำกริยาที่เป็น Non-finite Verb ประเภท Participle ในลักษณะต่าง ๆ คือ

2.2.1 Present Participle ใช้เป็น Adjective ในรูป V.ing ขยายคำนามเพื่อบอกให้รู้ว่าคำนามนั้นเป็นผู้กระทำ เช่น

a crying boy (crying มีรูปเป็น Present Participle ขยาย boy ฉะนั้นจึงใช้คำว่า “crying” เป็น adjective รูปหนึ่ง)

a singing lady (singing มีรูปเป็น Present Participle ขยาย lady ซึ่งเป็นคำนามที่บอกให้รู้ว่าเป็นผู้กระทำอาการเอง ดังนั้น singing จึงใช้เป็น adjective)

a reading lamp (reading มีรูปเป็น Present Participle ขยาย lamp ซึ่งเป็นคำนามที่บอกให้รู้ว่าเป็นผู้กระทำการเอง ดังนั้น reading จึงใช้เป็น adjective)

2.2.2 Past Participle ใช้เป็น adjective ในรูป Verb ช่อง 3 หรือ Verb เติม ed ขยายคำนามเพื่อบอกให้รู้ว่าคำนามนั้นเป็นผู้ถูกกระทำ เช่น

a frighted cat (frighted เป็น Past Participle ขยาย cat ซึ่งเป็นคำนามเพื่อบอกให้รู้ว่าคำนามนั้นเป็นผู้ถูกกระทำ ฉะนั้น “frighted” จึงใช้เป็น adjective)

a punished student (punished เป็น Past Participle ขยาย “student” ซึ่งเป็นคำนามเพื่อบอกให้รู้ว่าคำนามนี้เป็นผู้ถูกกระทำ ฉะนั้น “punished” จึงใช้เป็น adjective)

a repaired radio (repaired เป็น Past Participle ขยาย “radio” ซึ่งเป็นคำนาม เพื่อบอกให้รู้ว่าคำนามนี้เป็นผู้ถูกกระทำ ฉะนั้น “repaired” จึงใช้เป็น adjective)

a broken chair (broken เป็น Past Participle ขยาย “chair” ซึ่งเป็นคำนามเพื่อบอกให้รู้ว่าคำนามนี้เป็นผู้ถูกกระทำ ฉะนั้น “broken” จึงใช้เป็น adjective)

2.2.3 Perfect Participle ใช้เป็น adjective ในรูป Perfect Participle Phrase ที่เป็นกลุ่มคำที่จะใช้เพื่อเน้นความยาวนานหรือช่วงของเวลาที่มากกว่า Present Participle หรือ Past Participle มี 2 รูปแบบ คือ

รูปที่เป็นผู้กระทำ เมื่อขยายคำนามหรือคำสรรพนาม จะบอกให้รู้ว่าคำนามนั้นเป็นผู้ถูกกระทำ จะใช้รูป having + Verb ช่องที่ 3 เช่น

Having drunk six cans of beer, Wichai handed his car-key to his friend.

หลังจากดื่มเบียร์ไปหกกระป๋อง วิชัยก็ส่งกุญแจรถให้เพื่อนเขาขับแทน

(เรา ใช้โครงสร้าง Perfect Participle ก็เพราะว่าเราต้องการบอกคำนามหรือคำสรรพนามให้เห็นการกระทำที่ยาวนาน และมีการเน้นการกระทำอย่างต่อเนื่อง ในที่นี้จะเห็นว่าถึงแม้วิชัยเลิกดื่มเบียร์แล้ว เพราะเขากำลังจะกลับบ้าน แต่อาการมึนเมาก็ยังอยู่กับเขา อาจนานไปถึงตอนเช้าของวันรุ่งขึ้นหรือต่อไปอีกก็ได้ เป็นการเน้นเรื่องของเวลาอย่างเห็นได้ชัด และมีผลอันยาวนานมากกว่า Present Participle หรือ Past Participle นั่นเอง)

รูปที่เป็นผู้ถูกกระทำ เมื่อขยายนามจะบอกให้รู้ว่าคำนามนั้นเป็นผู้ถูกกระทำ จะใช้รูป Having been exhausted for a long time, the tourists went to sleep immediately.

(เรา ใช้โครงสร้าง Perfect Participle ก็เพราะว่า เราต้องการบอกคำนามหรือคำสรรพนามให้เห็นการถูกกระทำที่ยาวนานและมีความต่อ เนื่อง ในที่นี้จะเห็นว่านักท่องเที่ยวถูกทำให้หมดแรงเป็นเวลานาน เพราะได้ไปท่องเที่ยวตามที่ต่าง ๆ มาทั้งวัน พอกลับบ้านเข้าที่พักก็เตรียมเข้านอนทันที และถึงอย่างไรก็ตาม อาการเหน็ดเหนื่อยก็ยังมีมาอีกยาวนาน ซึ่งถ้าใช้ในโครงสร้าง Participle อื่น ไม่ว่าจะเป็น Present Participle หรือ Past Participle ก็จะไม่ทราบว่าความเหน็ดเหนื่อยจากการท่องเที่ยวมีผลยาวนานพอสมควรซึ่งผิดไป จากความเป็นจริง)

2.3 Adjective ที่มาจากการรวมคำต่าง ๆ เข้าด้วยกัน อาจเป็น adjective รวมกับ Noun, adverb รวมกับ Past Participle หรือ คำนามที่เติม ed (ใช้เป็น Past Participle) เช่น

a four-door car. We have a four-door car. เรามีรถยนต์สี่ประตู

a two-storey house This is a two-storey house. นี่เป็นบ้านสองชั้น

a fifty-dollar note This is a fifty-dollar note. นี่เป็นธนบัตร 50 ดอลล่าร์

a well-dressed lady She is a well-dressed lady. หล่อนเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวดี

a carefully-written report This is a carefully-written report. รายงานที่เขียนอย่างรอบคอบ

an absent-minded man He is an absent-minded man. เขาเป็นผู้ชายขี้ลืม

ชนิดของ Adjective
1. Adjective ที่แสดงคุณภาพ (Adjective of Quality) คือ คำคุณศัพท์ที่บอกลักษณะ คุณภาพ ของคำนามหรือคำสรรพนาม เช่น good, bad, white, blue, German, Indian เช่น

Somruck is a good boxer. สมรักษ์เป็นนักชกที่ดี

The sky is blue. ท้องฟ้ามีสีน้ำเงิน

He is a German sailor. เขาเป็นกะลาสีชาวเยอรมัน

2. Adjective ที่แสดงปริมาณ (Adjective of Quantity) คือ คำคุณศัพท์ที่แสดงปริมาณหรือจำนวนของคำนามหรือคำสรรพนามที่มันขยาย เช่น little, much, enough, no เช่น

She drinks a little milk. เธอดื่มนมเล็กน้อย

We don’t have much time. เราไม่มีเวลามาก

I have enough money to spend. เรามีเงินเพียงพอที่จะจ่าย

It has no meaning. มันไม่มีความหมาย

3. Adjective ที่บอกหรือแสดงลักษณะชี้เฉพาะ ว่าคนไหน สิ่งไหน หรือ อันไหน (Demonstrative Adjective) ใช้ประกอบหรือขยายคำนาม หรือคำสรรพนามที่กล่าวถึง เช่น this, that, those, these เช่น

This boy is taller than that. เด็กผู้ชายคนนี้สูงกว่าคนนั้น

These students like to study English. เด็กเหล่านี้ชอบเรียนภาษาอังกฤษ

Those pictures are mine. รูปภาพเหล่านั้น เป็นของฉัน

4. Adjective ที่บอกหรือแสดงอาการแยกจากกลุ่มเพื่อบอกลักษณะของคำนามหรือคำสรรพนามนั้น ๆ เฉพาะ (Distributive Adjective) ใช้เป็นคำคุณศัพท์เพื่อกล่าวถึงคน ๆ สิ่งของสิ่งเดียว หรือกลุ่มเดียวที่แยกจากสิ่งของทั้งหลายสิ่ง เช่น each, every, neither เช่น

Each student wants to pass the exam. นักเรียนแต่ละคนต้องการสอบผ่าน

Every boy likes to play football. เด็กผู้ชายทุกคนชอบเล่นฟุตบอล

Either side may win the race. แต่ละฝ่ายอาจชนะการแข่งขัน

Neither charge has been proved. ไม่มีข้อกล่าวหาใด ๆ ได้รับการพิสูจน์

5. Adjective ที่ใช้ขยายหรือประกอบคำนามหรือคำสรรพนามเพื่อใช้เป็นคำนาม (Interrogative Adjective) ใช้สร้างประโยคเพื่อเป็นคำถามและขยายคำนาม หรือคำสรรพนามอีกด้วย เช่น what, which, whose เช่น

What kind of book is it? นี่เป็นหนังสือประเภทไหน

Which way should we follow? ทางไหนที่เราควรเลือกทำตาม

Whose house is that? นั่นเป็นบ้านของใคร

การสร้างคำคุณศัพท์

1. Adjective ที่สร้างมาจากคำนิยาม โดยการเติม ful, less, some, ish, y, en, em, ly, ous, able, ible, like, ic. al เช่น

Noun Adjective

harm harmful

beauty beautiful

trouble troublesome

quarrel quarrelsome

north northern

day daily

glory glorious

duty dutiable, dutiful

sense sensible

talent talented

2. Adjective ที่สร้างมาจากคำกริยา (Verb)

Verb Adjective

talk talkative

prevent preventive

destroy destructive

close close

run running

3. Adjective ที่สร้างมาจากคำคุณศัพท์บางคำ

Adjective Adjective

red reddish

comic comical

glad gladsome

good goodly

tasty tasteful

ตำแหน่งของคำคุณศัพท์ (Position of Adjective)

1. อยู่หน้าคำนามหรือคำสรรพนาม เพื่อทำหน้าที่ขยายคำนามหรือคำสรรพนามนั้น เช่น

a nice boy เด็กดี

a poor man ชายที่น่าสงสาร

a beautiful girl เด็กผู้หญิงที่สวย

a shot eye สายตาสั้น

He is a rich man. เขาเป็นชายที่ร่ำรวย

The warm sun melted the deep snow. ดวงอาทิตย์ที่ร้อนละลายหิมะที่หนา

The new secretary doesn’t like me. เลขานุการคนใหม่ไม่ชอบฉัน

A long road leads to the old house. ถนนที่ยาวนำพาไปสู่บ้านหลังเก่า

A brave soldier was awarded a medal. ทหารที่กล้าหาญได้รับเหรียญกล้าหาญ

2. อยู่หลัง Helping Verb (มักจะเป็น V. to be เป็นส่วนใหญ่) และ Linking Verb (กริยาเชื่อม) ได้แก่ taste, get, become, remain, grow, feel, look, appear, seem, smell, turn, keep, sound, etc.

The boy feels happy. เด็กผู้ชายรู้สึกมีความสุข

He looks pleased. ดูเขามีความสุข

The orange tastes sour. ส้มมีรสเปรี้ยว

She keeps the roses fresh. เธอเก็บกุหลาบไว้ให้สด

That dress is new. ชุดนั้นใหม่

It doesn’t smell good. มันกลิ่นไม่ดี

It is getting dark. มันกำลังมือ

He becomes famous. เขามีชื่อเสียง

ข้อมูลเพิ่มเติม
- http://www.grammarlearn.com/adjective1.htm

Family Tree

Family Tree หรือ แผนภูมิครอบครัว คืออะไร?
Family Tree คือชาร์ตหรือแผนภูมิประวัติครอบครัว โดยการเชื่อมต่อกันในรูปแบบ ของ แผนภูมิต่อไม้แบบต่อกิ่งสาขาออกไปเรื่อยๆ ซึ่งก็จะเป็นระดับขั้นของต้นตระกูลเรานั่นเอง ในการดำเนินชีวิตยุคปัจจุบัน ผู้คนต่างละเลยคุณค่าของครอบครัว ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว สถาบันครอบครัว เป็นสถาบันพื้นฐานที่ สำคัญที่สุด ที่จะพัฒนาสังคม และกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่จะพัฒนาชาติที่มีคุณภาพต่อไป ประโยชน์เบื้องต้นเมื่อเราสร้าง Family Tree มีดังนี้

----รู้จักประวัติต้นตระกูลของนามสุกลเรา ได้ดียิ่งขึ้น
----ได้สืบค้นหาบรรพบุรุษ และทำเป็นข้อมูลสำคัญเก็บไว้
----ให้ความเคารพต่อบิดามารดา และแสดงความกตัญญูต่อนามสกุลของเรา
----ใช้ Family Tree ของเรา ในการปลูกฝังลูกหลานหรือคนรุ่นต่อไป ให้รู้จักเคารพผู้ปกครอง และให้เกียรติครอบครัว และเป็นผู้จงรักภักดีต่อสถาบันชาติมากขึ้น
----สร้าง Family Tree เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับคนในครอบครัว และเป็นที่สิ่งที่น่าภูมิใจสำหรับเรา

ตัวอย่างของ Family Tree


ตัวอย่างศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้าง Family Tree
Son
Daughter
Mother
Father
Grandfather
Grandmother
Wife
Brother
Clild
Son-In-Law
Grandson
Brother-In-Law
Father-In-Law

เราสามารถสร้าง Family Tree ได้ง่ายๆ ผ่านทางเวบไซด์ได้ ดังนี้
- http://www.myheritage.com/index.php?lang=TH

Describing People

Height/Weight
Is she
obese = โรคอ้วน
fat = อ้วน
slightly overweight = อวบ
well-built = รูปร่างดี หุ่นดี(ใช้เป็นคำชม)
heavily built = ตัวใหญ่
of average build = สมส่วน กลางๆ
slightly built = หุ่นดี รูปร่างดี
silm = ผอม
thin/skinny/bony = ผอมมาก

Is she
tall = สูง
of medium height = ปานกลาง
shortish = ค่อนข้างเตี้ย
short/tiny = ตัวเล็ก ไม่สูงมาก

Is she
curvy(flat/small-breasted,large-breasted)
รูปร่างแบบไม้กระดาน(อกแบน/หน้าอกเล็ก,หน้าอกใหญ่)

Does she has
thin waist = อรชอนอ้อนแอ้น
big hips = สะโพกใหญ่
nice shapely legs = ขาได้สัดส่วน
firm belly muscles = มีกล้ามเนื้อ
lovely figure = หุ่นดี (โดยภาพรวม)

Face/Hair
round/oval/square/heart shaped face
ใบหน้ารูป กลม/วงรี/เหลี่ยม/รูปหัวใจ
bushy/thick/thin eyebrows
คิ้ว ดก/หนา/บาง
round/almond/narrow/close-set eyes
รูปตา กลม/เอลมอนด์/เล็กแคบ
broad/flat/sharp/button/fake nose
จมูก บาน/แบน/มีเหลี่ยมสัน/ปลายจมูกเชิด/จมูกผิดรูป
full/thin/well-defined lips
ปาก อิ่ม/บาง/ได้รูปสวย
broad smile/charming smile
ยิ้มกว้าง/ยิ้มมีเสน่ห์
healthy/damaged teeth/(tooth)bracec
ฟันสุขภาพดี/ฟันผุ กร่อน/ดัดฟัน
wrinkles/freckles/pimple/smooth skin
ริ้วรอย/กระ/สิว/ผิวดี
moustache/beard
หนวด/หนวดเครา

Hair
thick/rich/strong/healthy/shiny hair
damaged hair/split hair
ผมเสีย
thin hair/receding hair
straight/wavy/curly hair
ผมตรง/ผมดัด ลอน
spiky hair = ผมชี้
fringe = หน้าม้า
permed hair = ผมดัด
coloured hair/highlights
กัดสีผม/ไฮไลท์
pigtails/ponytail/braid/bun/dreads
ผมหางหมู/หางม้า/ถักเปีย/มวยผม/ดัดเดรดล็อค
pull your hair back/put your hair up(with a clip or an elastic band)
รวบผมไปด้านหลัง/รวบผมแล้วยกสูง(ด้วยกิ๊บหรือยางมัดผม)
long/short/shoulder-length
ผมยาว/สั้น/ประบ่า

Is she
long-sighted/short-sighted

Is she wearing
glasses/contact lenses
smart clothes = เนื้อผ้าที่ดูดี สมาร์ท
elegant clothes = หรูหรา
casual clothes = เสื้อผ้าใส่ไปเที่ยว
shabby clothes = เสื้อผ้าสกปรก เก่า

Greeting

Greeting
การ พบปะกันในชีวิตประจำวันตามปกติแล้วจะมีการทักทายกันตามธรรมเนียม สำหรับประชาชนที่พูดภาษาอังกฤษ มักจะใช้คำหรือข้อความที่มีความหมายว่า “สวัสดี” ในช่วงเวลาและกับบุคคลที่แตกต่างกันดังนี้

Good morning
Good morning แปลว่า สวัสดี (ตอนเช้า) ใช้กับบุคคลโดยทั่วไปตั้งแต่เวลาเช้าหรือหลังเที่ยงคืนถึงเวลาเที่ยงวัน หรือเวลาอาหารกลางวัน การออกเสียง Good มักจะเบาจนบางครั้งได้ยินแต่ morning สำหรับผู้ตอบนั้นก็กล่าวว่า Good morning ในทำนองเดียวกัน เช่น
Harry : Good morning Ron.
Ron : Good morning Harry.

Good afternoon
Good afternoon แปลว่า สวัสดี (ตอนบ่าย) ใช้กับบุคคลโดยทั่ว ๆ ไปตั้งแต่หลังเวลาเที่ยงวันหรือเวลาอาหารกลางวันจนไปถึงเวลาพระอาทิตย์ตกดิน หรือราวหกโมงเย็น การออกเสียงคำทักทายนี้ออกเสียงเบาที่ Good เช่นเดียวกับ Good morning สำหรับผู้ตอบนั้นก็กล่าวคำว่า Good afternoon เช่นเดียวกับผู้ทักทาย เช่น
Hermiony : Good afternoon Harry.
Harry : Good afternoon Hermiony.

Good evening
Good evening แปลว่า สวัสดี (ตอนค่ำ) ใช้กับบุคคลโดยทั่ว ๆ ไปตั้งแต่เวลาหลังหกโมงเย็นไปแล้ว คำทักทายนี้ออกเสียงเบาที่ Good เช่นเดียวกับ Good morning และ Good afternoon สำหรับผู้ตอบนั้นก็กล่าว Good evening เช่นเดียวกับผู้ทักทาย เช่น
Harry : Good evening Hermiony
Hermiony : Good evening Harry.

Hello/Hi
Hello และ Hi แปลว่า สวัสดี ใช้กับบุคคลที่สนิทเป็นกันเองหรือในการทักทายที่มิได้เป็นพิธีการ เราจะไม่ใช้กับผู้ใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามอาจใช้กับพ่อแม่ หรือผู้ที่สนิทกันได้ในบางโอกาส สำหรับการตอบนั้น ผู้ตอบก็กล่าวเช่นเดียวกับผู้ทักทาย เช่น
Hermiony : Hi Ron.
Ron : Hi Hermiony.

How do you do?
How do you do? เป็นข้อความที่ใช้ทักทายกันเฉพาะกับคนที่พบหรือรู้จักกันเป็นครั้งแรกใช้ ทั้งกลางวันและกลางคืน ข้อความนี้เป็นรูปคำถามที่มีความหมายว่า “สวัสดี” ซึ่งไม่ต้องการคำตอบ ดังนั้นผู้ตอบจึงต้องกล่าวตอบโดยใช้ How do you do? เช่นเดียวกับผู้ทักทาย

How are you?
การ ถามทุกข์สุขหลังจากการกล่าวทักทายกันด้วยคำว่า “สวัสดี” แล้ว ประชาชนที่พูดภาษาอังกฤษมักจะถือเป็นธรรมเนียมที่จะต้องถามทุกข์สุขของอีก ฝ่ายหนึ่งติดตามมา โดยกล่าวข้อความต่อไปนี้
How are you? (คุณเป็นอย่างไร)
How are you…………………?
(today)
(this morning)
(this afternoon)
(this evening)
How have you been? ใช้ในกรณีไม่ได้พบกันนาน ๆ ซึ่งมีความหมายเดียวกันกับ How are you? บางครั้งก็มีการเพิ่มข้อความแสดงเวลาที่ถามเช่นเดียวกัน

สำหรับการตอบนั้น ตอบได้หลายอย่าง เท่าที่นิยมมีดังนี้
I’m fine.
(very well)
(quite well)
(O.K.)
ผู้ตอบอาจเพิ่มข้อความแสดงการขอบคุณ และถามตอบผู้ทักทาย
I’m fine, thank you and you?
(Thank you and how are you?)
(Thank you and how have you been?)
(ผมสบายดี ขอบคุณครับ แล้วคุณล่ะเป็นอย่างไรบ้าง)
Fine, thank you and you?

ในบางครั้งผู้ตอบอาจไม่สบาย ก็ควรตอบด้วยข้อความต่อไปนี้
ไม่ค่อยสบาย
Not so well.
Not very well.
ผู้ตอบอาจบอกเหตุผลหรืออาการเจ็บป่วยเพิ่มเติม เช่น
Not so well. I have a cold.
ไม่ค่อยสบาย เป็นหวัด
เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งทราบว่าผู้ที่เราคุ้นเคยด้วยไม่สบาย ควรแสดงน้ำใจด้วยการพูดให้กำลังใจดังนี้
I hope you are better soon.
ฉันหวังว่าคุณจะสบายขึ้นในเร็ว ๆ นี้
I’m sorry to hear it.
ผมเสียใจด้วยที่ทราบเช่นนั้น

ตัวอย่างสถานการณ์
Dumbledore : “Good morning.”
Arther : “Good morning. How are you?”
Dumbledore : “Fine, thanks and you?
Arther : “Very well, thank you.”

Voldemort : “Hello, Dumbledore.”
Dumbledore : “Hi, Voldemort. How are you?”
Voldemort : “Not so well. I have headache.”
Dumbledore : “I hope you feel better soon.”
Voldemort : “Thank you.”

There is/There are

There is = มี
There is (มี) ใช้กับคำนามเอกพจน์(Singular nouns)
ตัวอย่าง
There is a box on the table.
There is a bird on the tree.
There is a cup of coffee.

There are = มี
There are (มี) ใช้กับคำนามพหูพจน์(Plural nouns)
ตัวอย่าง
There are many fruits on the table.
There are three cups of coffee.
There are two cars at the corner.

There is/There are ในประโยคคำถาม
รูปแบบ Is,Are + there................?
เมื่อ ต้องการจะเปลี่ยนรูปแบบประโยค there is/there are ให้เป็นประโยคคำถาม ให้สลับตำแหน่งด้วยการนำ Is/Are มาไว้หน้า there แล้วใส่เครื่องหมาย ?(Question mark)
ตัวอย่าง
There is a box on the table.(บอกเล่า)
Is there a box on the table?(คำถาม)

There are three cups of coffee.(บอกเล่า)
Are there three cups of coffee?(คำถาม)

การตอบประโยคคำถาม Is there........?/Are there.........?
การ ตอบประโยคคำถาม Is there และ Are there จะตอบด้วย Yes หรือ No ถ้าตอบด้วย Yes ต้องตามด้วยประโยคบอกเล่า ถ้าตอบด้วย No ต้องตามด้วยประโยคปฏิเสธ
ตัวอย่าง
Are there three books on the table?
No,there aren't.

Is there a bird on the tree?
Yes,there is.

Is there a fish in the tank?
No,there aren't.

Affirmative sentence, ประโยคบอกเล

Affirmative sentences (ประโยคบอกเล่า) S + V1...
a) I work at Personnel Division.
b) You always get up late.
c) She cleans the house and does the washing.
d) He likes the food at this restaurant.
e) We go to work by bus.
f) They drive to work everyday.
g) His daily work (it) starts at 11 a.m.

นั่น คือโครงสร้างและตัวอย่างประโยคบอกเล่า ซึ่งเราจะใช้เป็นคำตอบ โดยวางประธานไว้หน้ากริยาดังตัวอย่าง จุดที่อยากจะให้สังเกตก็คือ สีน้ำเงินและสีแดง
เมื่อเป็นประโยคเราก็จะดูที่ความสอดคล้องระหว่างประธานและกริยา
ข้อ ควรสังเกต กริยาใน Present นั้น ทั้งหมดยกเว้น verb 'be' มี 2 รูป คือ รูปที่เติม -s และรูปที่ไม่เติม -s ตามประธานนั่นเอง กล่าวคือ
- กริยาที่ไม่เติม-s ใช้กับประธาน I, You, We, They และ plural nouns (คำนามพหูพจน์)
- กริยาที่เติม -s ใช้กับประธาน He, She, It และ singular nouns (คำนามเอกพจน์) สังเกตดูตัวอย่างอีกครั้งนะ

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Affirmative Sentence
-
- http://www.bbznet.com/scripts2/view.php?user=bigdoorzone&board=3&id=6&c=1&order=lastpost

Sentence, ประโยค



เมื่อ กล่าวถึง เรื่อง Sentence ในภาษาอังกฤษแล้ว ก็อาจจะเป็นที่เข้าใจได้ทันที(สำหรับผู้ที่เคยผ่านหูผ่านตามา) ว่า คำว่า “Sentence” นี้ ก็คือประโยคในภาษาไทยนั่นเอง ประโยคในภาษาไทยและภาษาอังกฤษนั้น มีลักษณะใกล้เคียงกันมาก ทั้งรูปแบบโครงสร้างประโยค การเรียงประโยค จึงอาจทำให้ผู้ที่เข้าใจภาษาไทย สามารถเรียนรู้และเข้าใจภาษาอังกฤษได้อย่างรวดเร็ว
ก่อนที่จะได้ทำการจำแนกแบ่งซอย Sentence(ประโยค) ขอนำคำนิยามความหมายที่ปรากฏอยู่ในพจนานุกรมหลายเล่มมาประมวลเอาไว้พอสังเขปดังนี้
“ Sentence is group of words that you put together to tell an idea or ask a question.”
(Oxford Basic English Dictionary,1981:247)
“ Sentence is a word or a group of syntactically related words that states, asks, commands, or exclaims something conventional unit of connected speech or writing, usually containing a subject and a predicate: in writing, a sentence begins with a capital letter and concludes with an end of mark (period, question mark, etc.), and concludes with any various final pitches and a terminal juncture.” (Webster’s New World Dictionary,1988:1223)
“ Sentence is a group of words, which they are written down, begin with a capital letter and end with a full stop, question mark, or exclamation mark. Most of sentence contain a subject and a verb.” ( Collins Cobuild English Dictionary,1995:287)

จากคำนิยามความหมายของ Sentence (ประโยค) ข้างต้นนี้ ทำให้สามารถสรุปได้ว่า
Sentence(ประโยค) หมายถึง กลุ่มคำที่ประกอบด้วยภาคประธาน และภาคขยายประธาน ที่เรียงประกอบเข้าด้วยกันอย่างเป็นระเบียบ โดยแสดงข้อความที่มีความหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง
Sentence (ประโยค) โดยทั่วไปแล้วจะประกอบด้วย ภาคประธาน (Subject) และภาคขยายประธาน หรือภาคแสดง (predicate) ตัวอย่างเช่น
I am a monk.
ผมเป็นพระ
ภาคประธาน (Subject) คือ I
ภาคขยายประธาน หรือภาคแสดง (predicate) คือ am a monk
Mahachulalongkornrajavidyalaya university is the Buddhist university.
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยทางพระพุทธศาสนา
ภาคประธาน (Subject) คือ Mahachulalongkornrajavidyalaya university
ภาคขยายประธาน หรือภาคแสดง (predicate) คือ is the Buddhist university
ฯลฯ
Sentence (ประโยค) ในภาษาอังกฤษ ท่านได้แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
1. Simple Sentence ( ประโยคความเดียว หรือเอกัตถประโยค)
2. Compound Sentence ( ประโยคความรวม หรืออเนกัตถประโยค)
3. Complex Sentence ( ประโยคความซ้อน หรือสังกรประโยค)
4. Compound – Complex Sentence ( ประโยคความผสม หรือ อเนกัตถสังกรประโยค)
ต่อไปก็จะได้กล่าวถึงความหมายและรายละเอียด กฎเกณฑ์ของ Sentence (ประโยค) แต่ละข้อ
ที่ได้กล่าวมาแล้ว ตามลำดับดังต่อไปนี้
1. Simple Sentence แปลว่า ประโยคความเดียว หรือเอกัตถประโยค หมายถึง ข้อความที่พูด
ออก ไปแล้ว มีใจความเดียว ไม่กำกวม สามารถเข้าใจเป็นอย่างเดียวกันระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง เป็นประโยคที่มีประธานตัวเดียว และกิริ ยาตัวเดียว
ตัวอย่างเช่น
-Venerable Tawan is my friend.
ท่านตะวันเป็นเพื่อนของผม
- Buddhism is one of the great world religions.
พระพุทธศาสนาเป็นหนึ่งในบรรดาศาสนาโลกที่ยิ่งใหญ่
ฯลฯ
หมายเหตุ : พึงสังเกตประโยคแต่ละประโยคข้างต้นเหล่านี้ จะเห็นว่าแต่ละประโยคจะมีประธาน
ตัว เดียว และกิริยาตัวเดียว จึงทำให้สามารถทราบได้ว่าเป็น Simple Sentence (ประโยคความเดียว หรือเอกัตถประโยค) ตามความหมาย และกฎเกณฑ์ข้างต้น

นอกจากนั้นแล้ว Simple Sentence (ประโยคความเดียว หรือเอกัตถประโยค) ยังสามารถแบ่งเป็น
ประโยคย่อยๆ ได้อีก 6 รูปแบบ ดังนี้คือ
1. ประโยคบอกเล่า ( Affirmative Sentence)
2. ประโยคปฏิเสธ ( Negative Sentence )
3. ประโยคคำถาม ( Interrogative Sentence )
4. ประโยคคำถามเชิงปฏิเสธ (Negative Question Sentence)
5. ประโยคข้อร้องหรือบังคับ ( Imperative Sentence)
6. ประโยคอุทาน (Exclamation Sentence)

ก่อนอื่นก็ขอเริ่มต้นอธิบายเป็นลำดับไปดังนี้
1. ประโยคบอกเล่า ( Affirmative Sentence) ได้แก่ ประโยคที่มีเนื้อความบอกเล่าตามธรรมดา
ไม่อยู่ในรูปคำถาม ปฏิเสธ อุทาน หรือ ขอร้องและบังคับ
ตัวอย่างเช่น
- I am studying at a university in Nakornratchasima province.
ผมกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา
- Wat Isaan is located in Nakornratchasima city.
วัดอิสานตั้งอยู่ในตัวเมืองนครราชสีมา
ฯลฯ
2. ประโยคปฏิเสธ ( Negative Sentence ) ได้แก่ ประโยคที่มีเนื้อความปฏิเสธ
ตัวอย่างเช่น
- The Pali language is not difficult for monks.
ภาษาบาลีเป็นภาษาที่ไม่ยากสำหรับพระ
- Thailand is not the largest country in the world.
ประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ฯลฯ
3. ประโยคคำถาม ( Interrogative Sentence ) ได้แก่ ประโยคที่มีเนื้อความเป็นคำถาม เพื่อ
ต้องการทราบคำตอบ
ตัวอย่างเช่น
- Are you a monk ?
ท่านเป็นพระหรือ ?
- What is Buddhism?
พระพุทธศาสนาคืออะไร?
ฯลฯ
4. ประโยคคำถามเชิงปฏิเสธ (Negative Question Sentence) ได้แก่ประโยคที่มีเนื้อความเชิง
ปฏิเสธ ตัวอย่างเช่น
- Does not she believe in you?
หล่อนไม่เชื่อคุณหรือ?
- Why do not you do that again?
ทำไมคุณถึงไม่ทำมันอีกครั้ง?
ฯลฯ
5. ประโยคข้อร้องหรือบังคับ ( Imperative Sentence) ได้แก่ ประโยคที่มีเนื้อความขอร้องหรือ
บังคับให้กระทำ
ตัวอย่างเช่น
5.1 ประโยคที่มีเนื้อความขอร้อง เช่น
- I beg your pardon.
ผมขอโทษ
- You should follow my words.
ท่านควรทำตามคำพูดของผม
ฯลฯ
5.2 ประโยคที่มีเนื้อความบังคับ เช่น
- Do as my suggestion.
จงทำตามคำแนะนำของผม
- Open the door now.
จงเปิดประตูเดี๋ยวนี้
ฯลฯ
6. ประโยคอุทาน (Exclamation Sentence) ได้แก่ ประโยคที่มีเนื้อความเปล่ง
อุทานขึ้น มีทั้ง ตกใจ ปะหลาดใจ เศร้าใจ ดีใจ เป็นต้น
ตัวอย่างเช่น
How nice she is !
หล่อนช่างดูดีจริงๆ !
What the hottest month it is!
มันช่างเป็นเดือนที่ร้อนที่สุดอะไรเช่นนี้ !
ฯลฯ
2. Compound Sentence แปลว่า ประโยคความรวมหรืออเนกัตถประโยค หมายถึง ประโยคที่มีข้อความ 2 ข้อความมารวมกัน พูดง่าย ๆ คือ ประโยคความเดียว 2 ประโยคมารวมกัน แล้วเชื่อมด้วย co-ordinate conjunction (ตัวเชื่อมประสาน) ได้แก่ and, or, but, so, still, yet, etc. และ conjunctive adverb (คำวิเศษณ์เชื่อม) ได้แก่ however, meanwhile, therefore, otherwise, thus, etc.
2.1 Compound Sentence ( ประโยคความรวม หรืออเนกัตถประโยค) ที่เชื่อมด้วย co-ordinate conjunction (ตัวเชื่อมประสาน) ได้แก่ and, or, but, so, still, yet, etc.
ตัวอย่างเช่น
- Venerable Tawan can speak English and he can speak Loa.
ท่านตะวันสามารถพูดภาษาอังกฤษและสามารถพูดภาษาลาวได้
- Phramaha Charoen does not study Loa yet he can speak it.
พระมหาเจริญไม่ได้ศึกษาภาษาลาวถึงกระนั้นเขาก็สามารถพูดภาษาลาวได้
ฯลฯ
2.2 Compound Sentence (ประโยคความรวม หรืออเนกัตถประโยค) ที่เชื่อมด้วย conjunctive adverb (คำวิเศษณ์เชื่อม) ได้แก่ however, meanwhile, therefore, otherwise, thus, hence, nevertheless, etc.
ตัวอย่างเช่น
- Venerable Prakorng was ill, thus he went to see a doctor at a hospital.
ท่านประคองป่วยดังนั้นเขาจึงไปหาหมอที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
- Jess comes to see me at a temple, meanwhile I teach her Buddhism.
เจสมาหาผมที่วัดระหว่างนั้นผมก็สอนพระพุทธศาสนาให้เธอด้วย
ฯลฯ
หมาย เหตุ : จากตัวอย่าง จะเห็นได้ว่า Compound Sentence เกิดมาจาก Simple Sentence 2 ประโยคมารวมกัน แล้วคั่นกลางประโยคทั้งสองด้วย co-ordinate conjunction (ตัวเชื่อมประสาน) และ conjunctive adverb (คำวิเศษณ์เชื่อม)
3. Complex Sentence แปลว่า ประโยคความซ้อน หรือสังกรประโยค หมายถึง ประโยคที่มี
เนื้อ ความซับซ้อน ถ้าขาดเนื้อความใดเนื้อความหนึ่งแล้ว ทำให้เนื้อความไม่สมบูรณ์ จะใช้ตัวเชื่อมที่เรียกว่า sub - ordinate conjunction (คำเชื่อมแฝง) ได้แก่ if, before, because, as if, since, etc. และ relative pronoun(สัมพันธ์สรรพนาม) ได้แก่ who, what, where, that, which, etc.
3.1 Complex Sentence (ประโยคความซ้อน หรือสังกรประโยค) ที่เชื่อมด้วย sub - ordinate conjunction (คำเชื่อมแฝง) ได้แก่ if, before, because, as if, since, etc.
ตัวอย่างเช่น
- Before I go out, I would like to leave my messages.
ก่อนที่ผมไป ผมอยากจะทิ้งข้อความของผมเอาไว้
- Venerable Somporn talks as if he was able to speak English.
ท่านสมพรพูดราวกับว่าเขาสามารถพูดภาษาอังกฤษได้
3.2 Complex Sentence (ประโยคความซ้อน หรือสังกรประโยค) ที่เชื่อมด้วย relative pronoun (สัมพันธ์สรรพนาม) ได้แก่ who, what, where, that, which, etc.
ตัวอย่างเช่น
The monk who is standing over there is my friend.
พระผู้ซึ่งกำลังยืนอยู่ที่นั่นคือเพื่อนของผม
The monk whose book was stolen is student.
พระผู้ซึ่งหนังสือของเขาถูกขโมยคือนักเรียนของผม
ฯลฯ
หมาย เหตุ : จากตัวอย่าง จะเห็นได้ว่า Complex Sentence (ประโยคความซ้อน หรือสังกรประโยค) เชื่อมด้วย sub - ordinate conjunction (คำเชื่อมแฝง) ได้แก่ if, before, because, as if, since, etc. และ relative pronoun (สัมพันธ์สรรพนาม) ได้แก่ who, what, where, that, which, etc. เพื่อทำให้สองประโยคมีความหมายที่สมบูรณ์
4. Compound – Complex Sentence แปลว่า ประโยคความผสม หรือ อเนกัตถสังกรประโยค
หมาย ถึง ประโยคที่มีเนื้อความหลายเนื้อความมาอยู่รวมกัน โดยไม่จัดเข้าเกณฑ์ตามแบบประโยคที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น หรืออาจกล่าวง่ายๆ ว่า ไม่จัดเข้าพวก ทั้งสามประโยคที่กล่าวมาข้างต้น และมีกฎเกณฑ์สลับซับซ้อน
ตัวอย่างเช่น
- Venerable Kitti can not remember whose book it is, so he asks his friend.
ท่านกิตติไม่สามารถจำว่าหนังสือนี้เป็นของใครได้ ดังนั้นเขาจึงถามเพื่อนของเขา
- Venerable Manop does not understand what teacher explains, yet he writes it down in his note book.
ท่านมานพไม่เข้าใจในสิ่งที่ครูกำลังอธิบาย ถึงกระนั้นก็ตามเขาก็ได้จดมันไว้ในสมุดจดบันทึกของเขา
ฯลฯ
หมาย เหตุ : จากตัวอย่าง จะเห็นได้ว่า compound - complex sentence (ประโยคความผสมหรือสังกรอเนกัตถประโยค) มีประโยคเล็กที่เรียกว่า clause (อนุประโยค) แทรกเขามาท่ามกลาง Compound Sentence (ประโยคความรวมหรืออเนกัตถประโยค)

สรุป

Sentence หมายถึง กลุ่มคำที่ประกอบด้วยภาคประธาน และภาคขยายประธาน ที่เรียงประกอบเข้าด้วยกันอย่างเป็นระเบียบ โดยแสดงข้อความที่มีความหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง
Sentence (ประโยค) ในภาษาอังกฤษ ท่านได้แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
1. Simple Sentence (ประโยคความเดียวหรือเอกัตถประโยค) แบ่งออกเป็น6คือ
1.1 ประโยคบอกเล่า (Affirmative Sentence)
1.2 ประโยคปฏิเสธ (Negative Sentence )
1.3 ประโยคคำถาม (Interrogative Sentence)
1.4 ประโยคคำถามเชิงปฏิเสธ (Negative Question Sentence)
1.5 ประโยคข้อร้องหรือบังคับ ( Imperative Sentence)
1.6 ประโยคอุทาน (Exclamation Sentence)
2. Compound Sentence (ประโยคความรวม หรืออเนกัตถประโยค)
3. Complex Sentence (ประโยคความซ้อน หรือสังกรประโยค)
4. Compound – Complex Sentence (ประโยคความผสม หรือ อเนกัตถสังกรประโยค)


ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Sentence :
- http://www.englishub.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=568702&Ntype=12

Auxiliary Verbs, กริยาช่วย, กริยานุเคราะห์

Auxiliary Verbs

Auxiliary Verbs คือ กริยาช่วย หรือ กริยานุเคราะห์















*เป็นกริยาแท้ได้ด้วย


หน้าที่ของกริยาช่วย

ทำหน้าที่เป็นส่วนสมบูรณ์ของประโยค (ทำให้ประโยคมีความหมายที่สมบูรณ์ ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์)
She is a very beautiful girl. เขาเป็นเด็กที่สวยมากคนหนึ่ง
Where are you now? ตอนนี้คุณอยู่ไหน
I am an English student. ฉันเป็นนักศึกษาภาษาอังกฤษคนหนึ่ง

ช่วยในประโยคปัจจุบันกาลกำลังกระทำ (S + is, am, are + v.1 ing)
บอกเล่า She is cleaning the house. เขากำลังทำความสะอาดบ้าน
คำถาม Is she cleaning the house? เขากำลังทำความสะอาดบ้านหรือ
ปฏิเสธ She is not cleaning the house? เขาไม่ได้กำลังทำความสะอาดบ้าน

ช่วยในประโยคอดีตกาลกำลังกระทำ (S + was, were + v.1 ing)
She was working at nine o’clock yesterday. เมื่อวานตอน 9 โมง เขากำลังทำงาน
Was she working at nine o’clock yesterday? เมื่อวานตอน 9 โมง เขากำลังทำงานอยู่หรือ
She was not working at nine o’clock yesterday. เมื่อวานตอน 9 โมง เขาไม่ได้กำลังทำงาน

ช่วยในประโยค Passive Voice (S + is, am, are, was, were + V.3) หรือประโยคที่ประธานถูกกระทำนั่นเอง
He is called Mr. Brown เขาถูกเรียกว่า นายบราวน์
I was born in Surin. ฉันเกิดในจังหวัดสุรินทร์
NESC center is located beside the river ศูนย์ NESC (ถูก) ตั้งอยู่ข้างแม่น้ำ
All students are punished by a teacher. นักเรียนทั้งหมดถูกตีโดยครู

ช่วยในประโยค Present Perfect Tense (S + has, have +V.3)
She has stayed in Bangkok for 3 years. เขาได้อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นเวลา 3 ปีแล้ว
Monks have taugh Dhamma since 9 o’clock. พระได้สอนธรรมะตั้งแต่เวลา 9 นาฬิกา

ช่วยในประโยค Past Perfect Tense (S+ had + v.3)
You had spoken all the time. คุณได้พูดตลอดเวลา

ช่วยในประโยคที่มีกริยาแสดงความรู้สึกอยู่ด้วย (be + interested………….)
They are interested in English conversation. พวกเขาสนใจในการสนทนาภาษาอังกฤษ
I was excited very much. ฉันรู้สึกตื่นเต้นมากๆ

การทำประโยคคำถามและปฏิเสธ
ถ้า ในประโยคนั้น มีกริยาช่วยอยู่ สามารถตั้งคำถามได้เลย โดยวางกริยาช่วยไว้ข้างหน้าประโยค และทำเป็นประโยคปฏิเสธ โดยการเติม not ไว้หลังกริยาช่วย เช่น
บอกเล่า He has lived in Bangkok. เขาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ
คำถาม Has he lived in Bangkok? เขาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ หรือ
ปฏิเสธ He has not lived in Bangkok. เขาไม่ได้อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ
บอกเล่า You had spoken all the time. คุณได้พูดตลอดเวลา
คำถาม Had you spoken all the time? คุณได้พูดตลอดเวลาหรือ
ปฏิเสธ You had not spoken all the time. คุณไม่ได้พูดตลอดเวลา
บอกเล่า They are interested in English. พวกเขาสนใจในภาษาอังกฤษ
คำถาม Are they interested in English? พวกเขาสนใจในภาษาอังกฤษหรือ
ปฏิเสธ They are not interested in English. พวกเขาไม่ได้สนใจในภาษาอังกฤษ
บอกเล่า You can speak English. คุณสามารถพูดภาษาอังกฤษได้
คำถาม Can you speak English? คุณสามารถพูดภาษาอังกฤษได้หรือ
ปฏิเสธ I cannot speak English. ฉันไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้
บอกเล่า Linda will have a party. ลินดาจะมีงานเลี้ยง
คำถาม Will Linda have a party? ลินดาจะมีงานเลี้ยงหรือ
ปฏิเสธ Linda will not have a party. ลินดาจะไม่มีงานเลี้ยง
บอกเล่า They may go dancing tonight. คืนนี้ พวกเขาอาจจะไปเต้นรำ
คำถาม May they go dancing tonight? คืนนี้ พวกเขาอาจจะไปเต้นรำหรือ
ปฏิเสธ They may not go dancing tonight. คืนนี้ พวกเขาอาจจะไม่ไปเต้นรำ

แต่ ถ้าในประโยคนั้นไม่มีกริยาช่วยอยู่ มีแต่กริยาแท้ (Finite verb/ไฟไนท์ เวิร์บ) เช่น
want ต้องการ drink ดื่ม do ทำ,
speak พูด practice ฝึกฝน understand เข้าใจ
teach สอน watch เฝ้าดู cry ร้องไห้
sleep นอน swim ว่ายน้ำ take นำไป
bring นำมา help ช่วย make ทำ สร้าง
eat กิน have มี กิน ได้รับ สูบ (บุหรี่)
ให้ใช้กริยาช่วย do does did มาช่วยในการตั้ง เป็นประโยคคำถามและประโยคปฏิเสธ โดยมีหลักดังนี้

ประโยคปัจจุบันกาล (Present Simple Tense) ประธานเอกพจน์ ให้ใช้ Does เช่น
บอกเล่า He comes from England. เขามาจากประเทศอังกฤษ
คำถาม Does he come from England? เขามาจากประเทศอังกฤษหรือ
ปฏิเสธ He does not come from England. เขาไม่ได้มาจากประเทศอังกฤษ
บอกเล่า Niramol has a car. นิรมลมีรถ
คำถาม Does Niramol have a car? นิรมลมีรถหรือ
ปฏิเสธ Niramol does not have a car. นิรมลไม่มีรถ
บอกเล่า Toop eats fried chicken. ไอ้ตูบกินไก่ทอด
คำถาม Does Toop eat fried chicken? ไอ้ตูบกินไก่ทอดหรือ
ปฏิเสธ Toop does not eat fried chicken. ไอ้ตูบไม่ได้กินไก่ทอด

ประธานพหูพจน์ ให้ใช้ Do เช่น
บอกเล่า We work on Saturday. พวกเราทำงานในวันเสาร์
คำถาม Do we work on Saturday? พวกเราทำงานในวันเสาร์หรือ
ปฏิเสธ We do not work on Saturday. พวกเราไม่ทำงานในวันเสาร์
บอกเล่า You understand English. คุณเข้าใจภาษาอังกฤษ
คำถาม Do you understand English? คุณเข้าใจภาษาอังกฤษไหม
ปฏิเสธ You do not understand English. คุณเข้าไม่ใจภาษาอังกฤษ
บอกเล่า They have dinner at home. พวกเขาทานข้าวเย็นที่บ้าน
คำถาม Do they have dinner at home? พวกเขาทานข้าวเย็นที่บ้านหรือ
ปฏิเสธ They do not have dinner at home. พวกเขาไม่ทานข้าวเย็นที่บ้าน
บอกเล่า Sri and Sa do homework. ศรีและษาทำการบ้าน
คำถาม Do Sri and Sa do homework.? ศรีและษาทำการบ้านไหม
ปฏิเสธ Sri and Sa do not do homework. ศรีและษาไม่ทำการบ้าน
บอกเล่า Students study English words. นักเรียนท่องศัพท์ภาษาอังกฤษ
คำถาม Do students study English words? นักเรียนท่องศัพท์ภาษาอังฤษษไหม
ปฏิเสธ Students do not study English words. นักเรียนไม่ต้องศัพท์ภาษาอังกฤษ

ประโยคอดีตกาล (Past Simple Tense) ไม่ว่าประธานจะเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ ให้ใช้ Did เท่านั้น
บอกเล่า You worked late last night. เมื่อคืนที่ผ่านมาคุณได้ทำงานดึก
คำถาม Did you work late last night? เมื่อคืนที่ผ่านมาคุณได้ทำงานดึกหรือ
ปฏิเสธ You did not work late last night. เมื่อคืนที่ผ่านมาคุณไม่ได้ทำงานดึก
บอกเล่า He/She studied hard. เขาเรียนหนัก
คำถาม Did he/she study hard? เขาเรียนหนักหรือ
ปฏิเสธ He/She did not study hard. เขาไม่ได้เรียนหนัก
บอกเล่า They wanted to smoke. พวกเขาได้ต้องการที่จะสูบหรี่
คำถาม Did they want to smoke? พวกเขาได้ต้องการที่จะสูบบุหรี่หรือ
ปฏิเสธ They did not want to smoke. พวกเขาไม่ได้ต้องการที่จะสูบบุหรี่
บอกเล่า She played a card last night. เมื่อคืนเขาเล่นไพ่
คำถาม Did she play a card last night? เมื่อคืนเขาเล่นไพ่หรือ
ปฏิเสธ She did not play a card last night. เมื่อคืนเขาไม่ได้เล่นไพ่
บอกเล่า The teacher taught English. ครูได้สอนภาษาอังกฤษ
คำถาม Did the teacher teach English? ครูได้สอนภาษาอังกฤษหรือ
ปฏิเสธ The teacher did not teach English. ครูไม่ได้สอนภาษาอังกฤษ
บอกเล่า You went to the Café last week. เมื่อสัปดาห์ที่แล้วคุณได้ไปคาเฟ่
คำถาม Did you go to the Café last week? เมื่อสัปดาห์ที่แล้วคุณได้ไปคาเฟ่หรือ
ปฏิเสธ You did not go to the Café last week. เมื่อสัปดาห์ที่แล้วคุณไม่ได้ไปคาเฟ่
บอกเล่า Suda enjoyed speaking English yesterday. เมื่อวานนี้ สุดาสนุกกับการพูดภาษาอังกฤษ
คำถาม Did Suda enjoy speaking English yesterday? เมื่อวานนี้ สุดาสนุกกับการพูดภาษาอังกฤษหรือเปล่า
ปฏิเสธ Suda did not enjoy speaking English yesterday.เมื่อวานนี้ สุดาไม่ได้สนุกกับการพูดภาษาอังกฤษ

**ถ้า Need เป็นกริยาแท้ จะแปลว่า ต้องการ และ Dare จะแปลว่า กล้า, ท้า เผชิญ เช่น
He needs a rest for a moment. เขาต้องการการพักผ่อนสักครู่หนึ่ง
She dares to walk alone after midnight. เขากล้าเดินคนเดียวหลังเที่ยงคืน
They need to study English again. พวกเขาต้องการที่จะเรียนภาษาอังกฤษอีกครั้ง
และให้ใช้ do does did มาช่วยทำประโยคคำถามและปฏิเสธ เหมือน finite verb ทั่วไป เช่น
บอกเล่า They need drinking-water. พวกเขาต้องการน้ำดื่ม
คำถาม Do they need drinking-water? พวกเขาต้องการน้ำดื่มหรือ
ปฏิเสธ They do not need drinking-water. พวกเขาไม่ต้องการน้ำดื่ม
บอกเล่า She needs to go now. เขาต้องการไปเดี๋ยวนี้
คำถาม Does she need to go now? เขาต้องการไปเดี๋ยวนี้หรือ
ปฏิเสธ She does not need to go now. เขาไม่ต้องการไปเดี๋ยวนี้
บอกเล่า The African needed food. ชาวแอฟริกันต้องการอาหาร
คำถาม Did the African need food? ชาวแอฟริกันต้องการอาหารหรือ
ปฏิเสธ The African did not need food. ชาวแอฟริกันไม่ต้องการอาหาร
บอกเล่า The students dare me to jump. นักเรียนท้าฉันให้กระโดด
คำถาม Do the students dare me to jump? นักเรียนท้าฉันให้กระโดดหรือ
ปฏิเสธ The students do not dare me to jump. นักเรียนไม่ท้าฉันให้กระโดด
บอกเล่า He dared to tell me the truth. เขากล้าบอกความจริงแก่ฉัน
คำถาม Did he dare to tell me the truth? เขากล้าบอกความจริงแก่ฉันหรือ
ปฏิเสธ He did not dare to tell me the truth. เขาไม่กล้าบอกความจริงแก่ฉัน
บอกเล่า Nong dares to face the life problem alone. หน่อง กล้าเผชิญปัญหาชีวิตเพียงลำพัง
คำถาม Does Nong dare to face the life problem alone?หน่องกล้าเผชิญปัญหาชีวิตเพียงลำพังไหม
ปฎิเสธ Nong doesn’t dare to face the life problem alone.หน่อง ไม่กล้าเผชิญปัญหาชีวิตเพียงลำพัง
*ถ้า Have เป็นกริยาแท้ จะแปลว่า มี, ดื่ม, กิน, สูบ (บุหรี่), ได้รับ, ให้ใช้ do does did
มาช่วยในการตั้งคำถามและปฏิเสธ เช่น
บอกเล่า He has a party today. เขามีงานเลี้ยงในวันนี้
คำถาม Does he have a party today? เขามีงานเลี้ยงหรือในวันนี้
ปฏิเสธ He does not have a party today. เขาไม่มีการงานเลี้ยงในวันนี้
บอกเล่า You often have a cigarette. คุณสูบหรี่บ่อยๆ
คำถาม Do you often have a cigarette? คุณสูบบุหรี่บ่อยๆ หรือ
ปฏิเสธ You do not often have a cigarette. คุณไม่ได้สูบบุหรี่บ่อยๆ
บอกเล่า They had breakfast. พวกเขาทานข้าวเช้าแล้ว
คำถาม Did they have breakfast? พวกเขาทานข้าวเช้าแล้วหรือ
ปฏิเสธ They didn’t have breakfast. พวกเขาไม่ได้ทานข้าวเช้า

Web Pages ที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง Auxiliary Verbs
- http://www.yindii.com/ref/grammar/auxiliary.htm